เที่ยวฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Aomori

::: JAPAN UPDATE : 2020-01-13 08:15:43

จังหวัดอะโอโมริเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของภูมิภาคโทโฮคุ เงียบสงบ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ เมื่อได้มาเยือนเมืองนี้ เราจะสัมผัสได้เลยว่าผู้คนที่นี่เขาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและอัธยาศัยก็ดีเป็นกันเองอีกด้วย
นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้ว จ. อะโอโมริยังขึ้นชื่อด้านการทำนาข้าวและมีการปลูกผลไม้หลายอย่างรวมไปถึงแอปเปิ้ล ผลไม้ที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน จ. อะโอโมรินั้นมีผลผลิตแอปเปิ้ลในปริมาณที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และยังขึ้นชื่อด้านคุณภาพในระดับพรีเมี่ยม
ที่อะโอโมริจะมีสวนแอปเปิ้ลหลายสวนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเก็บแอปเปิ้ลทานกันสดๆ จากต้น และสามารถซื้อจากสวนไปเป็นของขวัญของฝากได้อีกด้วยล่ะค่ะ
ทริปนี้เราจะไปเก็บแอปเปิ้ลทานกันสดๆ ที่สวนแอปเปิ้ล Kuroishi Kanko Ringo-en ที่เมืองคุโรอิชิ (Kuroishi) กัน สวนนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องวิวทิวทัศน์เพราะว่าตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟ Mt. Iwaki ได้อย่างชัดเจน และยังเห็นวิวเมือง ทสึการุ  (Tsugaru) โดยรอบ



ที่สวนนี้มีแอปเปิ้ลหลากหลายสายพันธุ์ และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เก็บทานในสวนถึง 4 สายพันธุ์ด้วยกัน ทานได้ไม่อั้นในเวลาครึ่งชั่วโมงกันเลยค่ะ บอกเลยว่าทานสดๆ จากต้น รสชาตินั้นหวานฉ่ำ สด กรอบ ได้อรรถรสมาก


สถานที่ Kuroishi Kanko Ringo-en
เปิดเวลา 9.00-16.00 น. ในช่วงต้นเดือนกันยายน ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี
ราคาเข้าชม 400 เยนต่อคนเท่านั้น และสามารถกินแอปเปิ้ลได้ไม่จำกัดภายในเวลา 30 นาที (เอากลับบ้านไม่ได้นะจ้ะ)


เราแวะมาที่ถนนคนเดิน Nakamachi Komise Street -Kuroishi กันบ้างค่ะ สิ่งแรกที่สะดุดตาและดึงดูดความสนใจของทุกคนเลยก็คือภาพวาดระบายสีที่ตั้งเป็นเสมือนกำแพงยาวทั้งสองฟาก ประกอบกับแสงไฟสลัวๆ ที่ส่องตามซุ้มหลังคาตลอดทางเดิน สะท้อนมากระทบที่ภาพวาดสวยจนน่าประหลาดใจเลยทีเดียว

ถนนคนเดินนี้เป็นถนนที่อนุรักษ์ไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้ว และถนนคนเดินแห่งนี้เป็นหนึ่งในร้อยของถนนช้อปปิ้งที่ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว




เอกลักษณ์ของที่นี่อีกอย่างคือจะเป็นบ้านไม้เก่า และบ้านแต่ละหลังจะมีหลังคายื่นออกมาจากตัวบ้านตลอดทางเดิน ซึ่งได้ออกแบบมาเพื่อช่วยป้องกันแสงแดด ฝน และหิมะให้กับคนเดินเท้าตลอดเส้นทางมาตั้งแต่สมัยเอโดะแล้ว





ที่นี่มีร้านรวงเปิดขายของหลากหลาย และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่นั้นก็ทำกันมารุ่นต่อรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า อาหาร ขนม พืชผักผลไม้ท้องถิ่น หรือเครื่องดื่มอย่างสาเก และยังมีเซนโตหรือห้องอาบน้ำรวมสาธารณะ ร้านกาแฟ ร้านเครื่องดื่ม ให้บริการอีกด้วย
เมื่อมาถึงอะโอโมริแล้ว แน่นอนว่าเราจะพลาดไม่ได้กับจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่ Hirosaki Park และที่สวนแห่งนี้ ยังเป็นที่ยอดนิยมสำหรับชมดอกซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย เพราะมีต้นซากุระราว 50 สายพันธุ์ จำนวนกว่า 2,600 ต้น 





นอกจากเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีฮิตแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของปราสาทฮิโรซากิ ซึ่งสร้างขึ้นในยุคเอโดะ ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮิโรซากิเลยทีเดียว เพราะเป็น 1 ใน 12 ปราสาทที่ไม่มีการสร้างเลียนแบบ และเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นในยุคเอโดะที่หลงเหลืออยู่เพียงหลังเดียวในภูมิภาคโทโฮคุ

เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ในสวน เราจะพบสะพานข้ามคูน้ำทั้งหมด 8 สะพาน ว่ากันว่าแต่ละสะพานนั้นจะมีความสวยที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาของปี



ด้านในสวนจะมีหอคอยซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปที่สามารถถ่ายภาพปราสาท วิวรอบๆ และในวันที่อากาศโปร่งใสไม่มีเมฆหนาปกคลุม เราจะได้รูป Mt. Iwaki เป็นฉากหลังที่สวยงามมากเลยทีเดียว



การเดินทาง
จากสถานีชินอะโอโมริ นั่งรถไฟด่วนพิเศษมาลงสถานี JR ฮิโรซากิ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นต่อรสบัส 15 นาที ลงป้ายชิยาตุโฉะมาเอะโคเอ็ง

 
เมื่อชมสวนและปราสาทเสร็จแล้ว เราก็เดินข้ามถนนมาที่หมู่บ้าน ซึการุฮัน เนปุตะมุระ (Tsugaru-han Neputa Village) ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีทั้งอาหารท้องถิ่นรสเลิศ ร้านค้า จำหน่ายของฝากหลากหลายจากอาโอโมริ ศูนย์จำหน่ายแอปเปิ้ลสดใหม่โดยสหกรณ์การเกษตร (ริงโหงะยะ) จำหน่ายและสาธิตการย่างขนมเซมเบ้จากร้านเมะเฮยะ รสชาติของท้องถิ่นแบบดั้งเดิมที่มีที่นี่ที่เดียว และบ้านพิพิธภัณฑ์เนะปุตะฮิโรซากิ
 
ที่อะโอโมริจะมีเทศกาลสำคัญชื่อเทศกาลเนะปุตะ (Hirosaki Neputa Festival) เป็นเทศกาลกลางฤดูร้อน จะมีขบวนแห่โคมไฟรูปพัดขนาดยักษ์เป็นรูปนักรบหรือนักแสดงละครคาบูกิ ในช่วงวันที่ 2 – 7 สิงหาคมของทุกปี ขบวนแห่นั้นมีตำนานเล่าขาน ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตในสมัยก่อนในฤดูเก็บเกี่ยวช่วงหน้าร้อน ว่ากันว่าเทศกาลนี้เกิดมาเพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้าง่วงนอนจากการทำนาให้ล่องลอยไปพร้อมกับกับโคมไฟ ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็นเทศกาลประจำปีของฮิโรซากิ




หากใครไม่สามารถมาร่วมงานเทศกาลนี้ได้ก็มาเยี่ยมชมโคมไฟสวยงามที่บ้านพิพิธภันฑ์เนะปุตะฮิโรซากิ (Tsugaru-han Neputa Village) ได้




ที่นี่มีการแสดงตีกลองและเครื่องเป่าโชว์ผู้มาเยือนด้วย เวลาที่การแสดงเริ่มขึ้นโคมไฟรูปพัดขนาดยักษ์นั้นก็จะหมุนอย่างช้าๆ ไปพร้อมกันทั้งสองข้าง จนกระทั่งการแสดงจบลง เป็นการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยค่ะ



ด้านในพิพิธภัณฑ์มีของหัตถกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน งานไม้ งานผ้า และงานกระดาษต่างๆ ขายเป็นที่ระลึกด้วยเช่นกัน อาทิเช่น ลูกข่างโบราณ โคมไฟกระดาษ ตุ๊กตาไม้ (Hirosaki kokeshi) แอ๊ปเปิ้ลเหมือนจริงทำจากไม้ ตะเกียบ งานปั้น และงานตัดเย็บเสื้อผ้าเกษตรกรโบราณสืบเนื่องมากว่า 200 ปี
ถ้าใครอยากลองเพ้นท์สีโคมไฟ ที่นี่มี workshop ให้ฝึกฝีมือและให้ผลงานไว้เป็นที่ระลึกด้วย ซึ่งที่นี่จะมี Workshop ระบายสีปลาทอง หรือเรียกกันว่า เนะปุตะคิงเกียว (เนะปุตะปลาทอง) ซึ่งในสมัยโบราณมีความเชื่อว่าปลาทองคือปลานำโชคและความสุข จึงได้สร้างเป็นเนะปุตะ ซึ่งในช่วงเทศกาลปัจจุบัน เราจะเห็นเด็กๆ ถือโคมไฟปลาทองนี้กันทั่วฮิโรซากิเลยค่ะ





ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 550 เยน เด็กเล็ก 100 เยน
นักเรียนมัธยม 350 เยน นักเรียนประถม 200 เยน
การเดินทาง : สถานีรถไฟชินอะโอโมริ ต่อรถไฟด่วนพิเศษ ลงสถานีฮิโรซากิ ประมาณ 30 นาที
เดินทางด้วยรถยนต์จากสนามบินอะโอโมริใช้เวลาประมาณ 40 นาที
http://www.neputamura.com

 
ทริปนี้ยังไม่จบง่ายๆ มาอะโอโมริทั้งทีจะพลาดอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ได้ยังไงกัน นั่นก็คือเมนูหอยเชลล์ในแบบ Aomori Style ค่ะ เนื่องจากหอยเชลล์ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพว่ายอดเยี่ยมที่สุด เพราะน้ำทะเลที่นี่สะอาดมากและมีคลื่นทะเลและสภาพอากาศที่เย็นพอเหมาะกับเจ้าหอยเชลล์ ดังนั้น ต้องลองค่ะ!

เมนูหอยเชลล์นั้นมีทั้งแบบย่างเป็นตัว และแบบย่างหอยเชลล์เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ไข่ เมนูนี้บางร้านจะมาเป็นแบบอยู่บนเตาเล็กๆ (ดังนั้นเราต้องคนนะคะ ไม่งั้นจะไหม้ได้) แต่ที่เห็นจากรูปนี้คือสำเร็จมาแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าไข่จะดิบหรือจะไหม้ค่ะ




มื้อเย็นนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้านอาหาร Tsugaru-Jasmisen Dining HIBIKI ที่ Hirosaki Park Hotel
ที่อยู่ 126 Dote-machi, Hirosaki-shi, Aomori, 036-8182
Website: h-park@imgnip.com

 



ส่วนด้านบนนี้จะเป็นหอยเชลล์ใส่ไข่แบบย่างบนเตาจากร้านอาหารที่หมู่บ้าน Tsugaru-han Neputa Village
เวลาทานเมนูนี้ก็อย่าลืมคนหอยเชลล์กับไข่ให้ทั่วๆ นะคะ รถชาติอร่อยกลมกล่อมสมเป็นเมนูอาหารขึ้นชื่อแห่งอะโอโมริเลยล่ะค่ะ



สุโก้ยเจแปนพาเที่ยวเทศกาลซากุระ AOMORI พร้อมแนะนำเมนูอาหารที่พลาดไม่ได้